ความดาร์กของวรรณคดีไทย

Spread the love
ความดาร์ของวรรณคดีไทย

เชื่อว่าหลายท่านที่เคยอ่านวรรณคดีไทย นอกจากจะได้สัมผัสถึงอรรถรสและคติสอนใจของวรรณคดีเหล่านั้นแล้ว เรายังสัมผัสได้ถึงความโหดร้ายที่แฝงมาในรูปแบบวรรณคดีอีกด้วย ซึ่งฉากโหดร้ายเหล่านั้นไม่ได้มีการลดทอนความโหดร้ายลงไปเลยแม้แต่น้อย ซึ่งจะต่างพวกนิทานกริมที่ถูกปรับเปลี่ยนให้ดูเป็นเทพนิยายจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ซึ่งไม่มีพิษมีภัยเหมาะกับเด็กๆ ที่จะฟังก่อนนอน แต่วรรณคดีไทย หรือ นิทานพื้นบ้าน จะต่างของทางฝั่งยุโรป ที่ยังคงความโหดร้ายแฝงเอาไว้แต่ถูกเล่าด้วยภาษาที่สละสลวย จนดูเหมือนความโหดร้ายเล่านั้นเป็นเรื่องปกติเลยทีเดียว ซึ่งฉากโหดร้ายเหล่านั้นมาจากเรื่องอะไรกันบ้าง มาฟังกันค่ะ

  • ความโหดร้ายของวรรณคดีไทย ฉากแรกที่จะกล่าวถึง คือฉากผ่าท้องนางบัวคลี่ออกมาทำกุมารทอง จากวรรณคดี เรื่อง ขุนช้างขุนแผน ซึ่งฉากนี้เรียกได้ว่าเป็นความโหดสัสรัสเซียเลยทีเดียว ซึ่งขุนแผนนั้นได้พยายามเสาะแสวงหากุมารทองมาเจอนางบัวคลี่ซึ่งตรงตามตำราที่ว่าไว้ว่านางจะมีบุตรหัวปีเป็นผู้ชาย จึงเข้าไปตีสนิทพ่อของนางจนยกลูกสาวให้ อยู่ๆ กันไปขุนแผนก็เริ่มกระด่างกระเดื่องกับพ่อตา จนพ่อตาสั่งให้นางบัวคลี่วางยาฆ่าผัว ขุนแผนรู้ทัน จึงไม่ได้กินอาหารที่นางวางยาไว้ ด้วยความแค้นและต้องการกุมารทอง ขุนแผนจึงเลือกที่จะฆ่านาง ซึ่งจะขอยกบทกลอนสั้นๆ ที่บรรยายฉากขุนแผนฆ่านางบัวคลี่ออกมาทำกุมารทองให้ฟังกันค่ะ

เอามีดคร่ำตำอกเข้าต้ำอัก                เลือดทะลักหลวมทะลุตลอดสัน

นางกระเดือกเสือกดิ้นสิ้นชีวัน            เลือดก็ดั้นดาดแดงดังแทงควาย

แล้วผ่าแผ่แล่แล่งตลอดอก               แหวะหวะ ฉะรก  ให้ขาดสาย

พินิจแน่ แลเห็น ว่าเป็นชาย              ก็สมหมาย ดีใจ ไม่รั้งรอ

อุ้มเอา ทารก ยกจากท้อง                 กุมารทอง มาเถิด    ไปกับพ่อ

หยิบเอา ย่ามใหญ่ ใส่สวมคอ            เอาผ้าห่อ ลูกชาย สะพายไป”

ซึ่งเหตุผลในวรรณคดีดูจะพยายามหาเหตุผลเข้าข้างขุนแผน ในแง่ที่ว่าในเมื่อนางบัวคลี่ตั้งใจที่ฆ่าขุนแผน การที่นางต้องพบจุดจบเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แต่ถ้ามองอีกแง่มุมหนึ่ง ขุนแผนนั้นต้องการกุมารทองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อรู้ว่าเมียวางยาจึงไม่แม้แต่จะถามไถ่ว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่กลับใช้เป็นเหตุอ้างเพื่อฆ่านางเอาลูกเพื่อมาทำเป็นกุมารทอง ซึ่งนี่อาจจะเป็นเหตุผลสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็ได้ เพราะหากขุนแผนต้องการแก้แค้นจริง พ่อของนางบัวคลี่น่าจะเป็นเป้าหมายมากกว่าตัวนางบัวคลี่เสียอีก แต่กลายเป็นนางบัวคลี่กับลูกเท่านั้นที่ตกเป็นเหยื่อ เมื่อได้ลูกไปทำกุมารทองแล้ว ขุนแผนก็หนีไป

ภาพขุนแผนฆ่านางบัวคลี่ จิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องขุนช้างขุนแผน ที่ระเบียงคดรอบวิหารหลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์ จังหวัดสุพรรณบุรี เขียนโดย เมืองสิงห์ จันทร์ฉาย เมื่อ พ.ศ.2548
ขุนแผนฆ่านางบัวคลี่เพื่อเอากุมารทอง
  • ความโหดร้ายของวรรณคดีไทย ฉากแรกที่จะกล่าวถึง คือฉากผ่าท้องนางบัวคลี่ออกมาทำกุมารทอง จากวรรณคดี เรื่อง ขุนช้างขุนแผน ซึ่งฉากนี้เรียกได้ว่าเป็นความโหดสัสรัสเซียเลยทีเดียว ซึ่งขุนแผนนั้นได้พยายามเสาะแสวงหากุมารทองมาเจอนางบัวคลี่ซึ่งตรงตามตำราที่ว่าไว้ว่านางจะมีบุตรหัวปีเป็นผู้ชาย จึงเข้าไปตีสนิทพ่อของนางจนยกลูกสาวให้ อยู่ๆ กันไปขุนแผนก็เริ่มกระด่างกระเดื่องกับพ่อตา จนพ่อตาสั่งให้นางบัวคลี่วางยาฆ่าผัว ขุนแผนรู้ทัน จึงไม่ได้กินอาหารที่นางวางยาไว้ ด้วยความแค้นและต้องการกุมารทอง ขุนแผนจึงเลือกที่จะฆ่านาง ซึ่งจะขอยกบทกลอนสั้นๆ ที่บรรยายฉากขุนแผนฆ่านางบัวคลี่ออกมาทำกุมารทองให้ฟังกันค่ะ

เอามีดคร่ำตำอกเข้าต้ำอัก                เลือดทะลักหลวมทะลุตลอดสัน

นางกระเดือกเสือกดิ้นสิ้นชีวัน            เลือดก็ดั้นดาดแดงดังแทงควาย

แล้วผ่าแผ่แล่แล่งตลอดอก               แหวะหวะ ฉะรก  ให้ขาดสาย

พินิจแน่ แลเห็น ว่าเป็นชาย              ก็สมหมาย ดีใจ ไม่รั้งรอ

อุ้มเอา ทารก ยกจากท้อง                 กุมารทอง มาเถิด    ไปกับพ่อ

หยิบเอา ย่ามใหญ่ ใส่สวมคอ            เอาผ้าห่อ ลูกชาย สะพายไป”

ซึ่งเหตุผลในวรรณคดีดูจะพยายามหาเหตุผลเข้าข้างขุนแผน ในแง่ที่ว่าในเมื่อนางบัวคลี่ตั้งใจที่ฆ่าขุนแผน การที่นางต้องพบจุดจบเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แต่ถ้ามองอีกแง่มุมหนึ่ง ขุนแผนนั้นต้องการกุมารทองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อรู้ว่าเมียวางยาจึงไม่แม้แต่จะถามไถ่ว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่กลับใช้เป็นเหตุอ้างเพื่อฆ่านางเอาลูกเพื่อมาทำเป็นกุมารทอง ซึ่งนี่อาจจะเป็นเหตุผลสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็ได้ เพราะหากขุนแผนต้องการแก้แค้นจริง พ่อของนางบัวคลี่น่าจะเป็นเป้าหมายมากกว่าตัวนางบัวคลี่เสียอีก แต่กลายเป็นนางบัวคลี่กับลูกเท่านั้นที่ตกเป็นเหยื่อ เมื่อได้ลูกไปทำกุมารทองแล้ว ขุนแผนก็หนีไป

ฉากหนุมานฆ่านางผีเสื้อสมุทร

ฉากที่3 ที่จะกล่าวถึง คือฉาก  ฉากพระสังข์ตัดหูตัดจมูก 6 เขย จาก วรรณคดีเรื่อง สังข์ทอง  ฉากนี้เป็นตอนที่ท้าวสามลพ่อตาของพระสังข์ ตั้งใจจะแกล้งเจ้าเงาะ จึงรับสั่งให้เขยทั้ง 6 รวมทั้งเจ้าเงาะไปหาเนื้อหาปลามาถวาย ถ้าหาไม่ได้จะสั่งประหาร แต่พระสังข์นั้นมีมนต์เรียกเนื้อเรียกปลาที่นางพันธุรัตน์เคยให้ไว้ จึงสามารถเรียกเนื้อเรียกได้มากมาย ทำให้หกเขยหาปลาไม่ได้ พระสังข์แสร้งปลอมเป็นเทวดา มาหลอกหกเขยว่าจะยอมให้ปลาให้เนื้ออย่างละตัว แต่ต้องแลกกับตัดหูตัดจมูก หกเขยจำยอมไม่เช่นนั้นจะโดนประหารหากหาปลาไม่ได้ซักตัวเดียว จากฉากนี้ จะเห็นได้ว่าเป็นพระเอกนั้นเอาคืนได้เจ็บแสบไม่น้อย เพราะการตัดหูตัดจมูกผู้อื่นถ้าไม่โหดจริงทำไม่ได้แน่ๆ ดังนั้นพระเอกในเรื่องบุคลิกนิสัยนั้นไม่ได้เป็นสีขาว แต่เป็นสีเทาๆ เสียด้วยซ้ำ การกระทำของพระสังข์ที่มีต่อหกเขย แสดงออกจึงแฝงความโหดร้ายแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ที่แฝงอยู่ในวรรณคดีได้อย่างแนบเนียน

ฉากพระสังข์ตัดหูตัดจมูก 6 เขย

ฉากที่4 สี่ นางกุลาโดนลงโทษจากโสนน้อย จาก นิทานพื้นบ้านเรื่องสโนน้อยเรือนงาม   ฉากนี้เป็นจุดจบของนางกุลาผู้หน้าตาอัปลักษณ์ที่ต้องรับโทษทัณฑ์ในตอนจบ จากความไม่ซื่อของนางที่แอบอ้างตัวเป็นพระธิดาโสนน้อย เพื่อที่จะมาเป็นชายาของพระโอรสวิจิตรจินดาในฐานะผู้ที่ชุบชีวิต แต่เมื่อความจริงถูกเปิดเผย นางก็ได้รับโทษอย่างสาสม ด้วยการแล่เนื้อแล้วเอาเกลือทา โดยแล่วันละน้อยๆ จนขาดใจตายในที่สุด ดังบทกลอนที่ว่า

...เอามีดเชือด                         ค่อยเถือ เนื้อเลือด
ออกที ละชิ้น                           เชือดที หนึ่งถาม

เอาความ ยุพิน                       อีใจ ทมิฬ
ไม่รับ เลยนา                          เชือดวัน ละน้อย
เลือดโทรม ไหลย้อย                         ทั่วทั้ง กายา
กุลา เหลือล้น                         จะทน มรณา
จนสิ้น มังสา                           ในกาย ไม่มี
มันมิ ได้รับ                              จนตา กลอกกลับ
สิ้นดังชีวี...

นางกุลา

ฉากที่ 5 เป็นฉากควักลูกตาในนางสิบสอง ฉากนี้มาจากนิทานพื้นบ้านเรื่องนางสิบสอง ด้วยความคลั่งแค้นของพระนางสันทมาลา ที่นำนางสิบสองมาเลี้ยงดูอุ้มชูตั้งแต่เด็กดั่งลูกในอุทร แต่เมื่อพวกนางรู้ความจริงว่าพระนางเป็นยักษ์จึงเกิดความหวาดกลัวหนีออกมาจากเมืองยักษ์ จนมาเจอราชารถสิทธิ์ก็ได้ตกแต่งเป็นมเหสีทั้งสิบสองคน นางยักษ์ตามหานางสิบสองจนเจอ เพื่อชำระแค้นโดยนำเอานางสิบสองที่กำลังตั้งครรภ์แก่ใกล้คลอดไปขังไว้ในถ้ำ และให้ยักษ์วิรุณ จำบังควักลูกตาพวกนางออกมาดองไว้ในโถว่านสรรพยาเพื่อชำระแค้นให้สาสมกับที่พวกนางทรยศ นางสิบสองเจ็บปวดทุกข์ทรมานตาบอดอยู่ในถ้ำอันมืดมิด ลูกๆ ของพวกพอคลอดก็มาก็ตายหมดเหลือรอดเพียงลูกของนางเภาน้องคนสุดท้อง ด้วยความหิวโหย พวกนางจึงจำต้องนำลูกๆ ที่ตายแล้วมาย่างกินเป็นอาหารเพื่อให้ตนเองอยู่รอด ไม่ต้องหิวตายอยู่ในถ้ำ นับเป็นความโหดร้ายของนิทานพื้นบ้าน ที่นำเสนอออกมาได้หดหู่ และเลือดเย็นเสียเหลือเกิน สำหรับชะตากรรมของนางทั้งสิบสอง เรื่องนี้ถูกนำมาทำเป็นภาพยนตร์ และละครพื้นบ้าน อยู่หลายครั้งซึ่งแต่ละครั้งที่ทำก็ล้วนแล้วแต่ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเนื้อหาละครนั้นก็ไม่ได้ลดทอนความโหดร้ายลงเลยแม้แต่น้อย

ฉากควักลูกตานางสิบสอง

ฉากที่ 6 นางอุทัยเทวีฆ่านางฉันทนา จากนิทานพื้นบ้าน เรื่อง อุทัยเทวี ด้วยความเกลียดชังที่นางฉันทนามีต่ออุทัยเทวี ทำให้นางหาทางกำจัดนางอุทัยเทวีให้พ้นทางเพื่อที่ตนเองจะได้ครอบครองพระโอรสสุทธกุมารแต่เพียงผู้เดียว องค์หญิงฉันทนาจึงวางแผนฆ่านางอุทัยเทวี แต่นางอุทัยเทวนั้นได้รับความช่วยเหลือจากบิดาจึงทำให้นางรอดพ้นความตายมาได้    นางอุทัยเทวีจึงรอดชีวิตและรอแก้แค้นนางฉันทนาอยู่นอกวัง หลังจากที่องค์หญิงฉันทนาฆ่าอุทัยแล้ว ก็เกิดความกังวลใจ และเริ่มหวาดกลัวว่านางอุทัยเทวีจะเป็นผีมาหลอกตน ผมของนางฉันทนาจึงเริ่มหงอกทีละเส้นๆ จนทำให้ผมที่เคยดำกลับขาวไปทั้งหัว จนต้องเอาผ้าพันศีรษะไว้ตลอดเวลา ในขณะที่ นางอุทัยเทวีก็แปลงกายเป็นแม่ค้าขายขนมที่ยังคงมีผมดกดำเพื่อรอการแก้แค้น ฝ่ายนางฉันทนาเห็นว่ายายแก่คนนี้น่าจะมีเคล็ดลับการบำรุงรักษาผม จึงได้เรียกให้ยายแก่เข้าไปในวังเพื่อรักษาผมของตนเอง นางอุทัยเทวีที่ปลอมตัวเป็นยายแก่ยื่นข้อเสนอว่า จะรักษาให้ก็ต่อเมื่อนางฉันทนายอมทำทุกอย่างตามที่ตนต้องการโดยห้ามถามอะไรทั้งสิ้น ด้วยความที่อยากจะกลับมาสวยอีกครั้ง นางฉันทนาจึงตกลงรับคำ
            เมื่อนางอุทัยเทวีเข้ามาถึงตัวนางฉันทนา ก็จับนางโกนผมออกจนหมด กรีดศีรษะ แล้วเอาปลาร้าใส่หม้อครอบหัวนางฉันทนาไว้ โดยห้ามเอาหม้อออกก่อนวันที่ 7 แต่เพียงเวลาไม่ทันข้ามคืน นางฉันทนาก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหว และสิ้นใจตายในที่สุด ถือว่าเป็นการเอาคืนของนางเอกที่เรียกได้ว่าตาต่อตาฟันต่อฟันเลยทีเดียว นับเป็นความโหดเหี้ยมของนางอุทัยเทวีแบบที่ไม่จำเป็นต้องมีความเมตตาเจือปนเลยซักนิด เรียกได้เธอฆ่าฉันได้ฉันก็ฆ่าเธอได้ แบบที่เธอต้องทรมานสุดๆ  ถ้าดูจากลักษณะนิสัยของนางอุทัยเทวีที่มีเชื้อสายของพญานาคครึ่งหนึ่งแล้ว การเอาคืนเช่นนี้ถ้ามองในแง่เผ่าพันธุ์ของนางอาจถือว่าเป็นปกตินิสัยที่ งูมักจะมีนิสัยความอาฆาตพยาบาทอยู่ในตัวอยู่แล้วก็ได้ค่ะ

นางอุทัยเทวีเข้ามาถึงตัวนางฉันทนา ก็จับนางโกนผมออกจนหมด กรีดศีรษะ แล้วเอาปลาร้าใส่หม้อครอบหัวนางฉันทนาไว้
  • ฉากที่7 ฉากนางอ้ายถูกนำไปทำเป็นปลาร้าส่งให้พ่อแม่กิน จาก นิทานพื้นบ้าน เรื่องปลาบู่ทอง ต้นเหตุก่อนที่จะเกิดฉากอันหฤโหดนี้ มาจากที่มเหสีเอื้อยพี่สาวคนละแม่ของนางอ้ายได้ดิบได้ดีจนกลายเป็นพระมเหสีของพระราชา นางอ้ายและนางขนิษฐีจึงวางแผนที่จะกำจัดพระมเหสี  โดยหลอกล่อให้เอื้อยมาที่บ้านอ้างว่าพ่อของเอื้อยนั้นป่วยหนัก และขอพระมเหสีเอื้อยถอดเครื่องทรงกษัตริย์ออกเสีย ก่อนแล้วค่อยเข้าไปเยี่ยมพ่อในห้อง โดยที่นางขนิษฐีแอบวางกลกระดานไว้เมื่อพระมเหสีเอื้อย เข้าไปในห้องเพื่อเยี่ยมพ่อที่ป่วย ก็เผลอไปเหยียบกระดานกล ตกลงไปใต้ถุนบ้านที่มีหม้อต้มน้ำเดือดใบใหญ่รอรับไว้ เอื้อยถูกน้ำร้อนลวกดิ้นทุรนทุนทุรายจนขาดใจตายกลายเป็นนกแขกเต้าบนไปหาราชาพรหมทัต ส่วนนางอ้ายได้เป็นปลอมเป็นพระมเหสีเอื้อยเข้าไปในวัง และก็ให้แม่ครัวนำไปถอนขนมาทำแกงนก แต่สุดท้ายพระมเหสีเอื้อยก็บินหนีออกมาได้ จนมาพบเข้าพระฤาษี ด้วยความสงสารพระมเหสีเอื้อย พระฤาษีจึงได้ชุบชีวิตนางจนกลับมาเป็นคนดังเดิม และความชั่วของนางอ้ายก็ถูกเปิดโปง แต่นางชิงกินยาพิษฆ่าตัวเสียก่อน แต่ราชาพรหมทัตไม่หายแค้นกับสิ่งที่นางทำกับพระมเหสีเอื้อย จึงสั่งให้คนนำศพของนางไปทำ ปลาร้าแล้วส่งไปให้พ่อแม่กิน ดังบทกลอนที่ว่า

   จึ่งสั่ง เพชฌฆาต ทั้งสี่                   ให้เชือดเนื้อผี

 เอาทำ ปลาส้ม ทันใด             

   ตัดหัว ยกลง ใส่ไห                       ตัดข้อ มือใส่

บั่นให้ เป็นท่อน ทั้งกาย

เหมือนเนื้อสุกรกวางทราย          บั่นรอน เรี่ยราย

พุงอ่อน ตับปอด ภายใน

  ใส่ลง ในไหทั นใด                       ผนึก ปิดไว้

อย่าให้ ใครรู้ สำคัญ

 เอาไป ให้พ่อ แม่มัน                    ให้กินเนื้อกัน

  บัดนั้น ก็กราบ ทูลลา  

 เมื่อพระราชาพรหมทัตส่งปลาร้าไปให้พ่อแม่ของนางอ้าย พวกเขาก็ทำการโซ้ยกันอย่างเอร็ดอร่อยทีเดียว กินไปกินมาล้วงเข้าไปในไห เจอหัวปริศนา เอามามองดูดีๆ อ้าว นี่มันหัวนางอ้ายลูกเรานี่นา ทารกะ นางขนิษฐี นางอี่ ก็แทบจะอาเจียนออกมา ทั้งสามคนรีบเก็บข้าวของหนีไปเพราะกลัวอาญาจากพระเจ้าพรหมทัต เรียกได้เป็นการเอาคืนการกระทำอันโหดร้ายของนางขนิษฐีและลูกๆ ของนางอย่างสาสมและโหดเหี้ยวเป็นที่สุด

นางอ้ายต้องโทษ

ฉากที่8 ฉากสุดท้ายแล้ว คือ ฉากศรีธนญชัยอาบน้ำให้น้อง ถ้าพูดถึงศรีธนญชัยเราคงรู้จักกันดี เกี่ยวกับความสามารถที่ฉลาด เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยอม กลโกง  ซึ่งความฉลาดของเค้ามักสร้างความวุ่นและเดือดร้อนให้กับผู้อื่นอยู่เสมอ เรียกได้เป็นคนที่ใช้ปัญญาได้เพียงแค่เอาตัวรอดโดยที่ไม่สนถูกผิด หรือผิดชอบชั่วดี ซึ่งวีรกรรมสุดโหดของศรีธนญชัยนั้นคือการอาบน้ำให้น้องชายตามที่แม่สั่งไว้ว่า “อย่าลืมล้างตัวน้องให้สะอาดทั้งนอกและใน” ก่อนที่จะออกไปข้างนอก ซึ่งศรีธนญชัยนั้นก็รับคำสั่งแม่มา นำน้องชายมาอาบน้ำ โดยจัดการผ่าท้องน้องควักไว้ควักพุงออกมาล้างจนสะอาดและน้องชายก็สิ้นใจตายในที่สุด พอแม่กลับมาพบว่าอะไรเกิดขึ้น ศรีธนญชัยก็อ้างว่าทำตามคำสั่งแม่ ซึ่งวีรกรรมอันโหดเหี้ยมของศรีธนญชัยยังมีอีกมากมาย ไม่ว่าทั้งจับสุนัขมารีดอุจาระ หลอกตีหัวพระจนมรณะภาพ ไล่ตีแมวจนตายเพื่อให้ได้ที่ดินที่กว้างที่สุด แต่ที่เป็นที่กล่าวขายได้โหดเหี้ยวก็คือเอาน้องชายตัวเองมาอาบน้ำควักไส้มาล้างจนน้องตายแหละ ค่ะ

ฉากศรีธนญชัยอาบน้ำให้น้อง

เป็นยังไงกันบ้างคะกับสำหรับ 8 ฉากของความโหดร้ายในวรรณคดีและนิทานพื้นบ้านของไทย เรียกได้ว่าโหดร้ายไม่แพ้นิทานกริมต้นฉบับเลยจริงมั้ยคะเผลอๆ จะโหดกว่าเสียด้วย ใครที่ฟังคลิปนี้จนจบแล้ว นึกฉากโหดๆ จากวรรณคดีหรือนิทานพื้นบ้านเรื่องอะไรกันบ้าง คอมเม้นแลกเปลี่ยนกันได้นะคะ